B.Care Medical Center | โรงพยาบาล บี.แคร์ เมดิคอลเซ็นเตอร์
02 532 4444
ติดต่อสอบถาม 02 532 4444
หน้าแรก / บทความสุขภาพ / ต่อมลูกหมากโต ภัยร้ายของชายวัย 50+ ที่ไม่ควรมองข้าม
ต่อมลูกหมากโต ภัยร้ายของชายวัย 50+ ที่ไม่ควรมองข้าม
12 กันยายน 2023

โรคต่อมลูกหมากเป็นอย่างไร

ต่อมลูกหมาก เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของระบบสืบพันธุ์เพศชาย มีขนาดเท่าผลลิ้นจี่อยู่ใต้กระเพาะปัสสาวะและล้อมรอบท่อปัสสาวะส่วนต้น หน้าที่สำคัญ คือ ผลิตของเหลวเป็นตัวหล่อลื่นและนำส่งเชื้ออสุจิในขณะที่มีการหลั่งของน้ำอสุจิออกมา

โรคต่อมลูกหมากโต หรือ BPH (Benign Prostate Hyperplasia) ถือว่าเป็นปัญหาสุขภาพที่น่าหนักใจของคุณผู้ชาย โดยทั่วไปผู้ป่วยโรคต่อมลูกหมากโตจะอยู่ในช่วงอายุ 45 - 50 ปีขึ้นไป และในผู้ชายสูงวัยอายุ 70 ปีขึ้นไป พบมากถึง 80% เนื่องจากอายุมากขึ้น ต่อมลูกหมากจะค่อยๆ โตขึ้น เมื่อฮอร์โมนในร่างกายเริ่มลดลง ต่อมลูกหมากโตขึ้นก็อาจกดเบียดท่อปัสสาวะให้แคบเล็กลง ส่งผลให้คนไข้มีอาการปัสสาวะติดขัด นอกจากนี้ต่อมลูกหมากโต อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผนังกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะหนาขึ้น เนื่องจากต้องบีบตัวแรงขึ้นเพื่อขับน้ำปัสสาวะให้ผ่านท่อแคบ ๆ และซึ่งบางครั้งเกิดภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินไป ส่งผลต่อความสามารถในการกักเก็บน้ำปัสสาวะลดลง จึงต้องปัสสาวะบ่อยขึ้น และอาจได้รับการกระตุ้นให้ปวดปัสสาวะขึ้นมาอย่างกะทันหันได้

อาการของโรคต่อมลูกหมากโตที่สำคัญมีอยู่ 7 อย่าง คือ

  • ลุกขึ้นปัสสาวะกลางดึกมากกว่า 2 ครั้ง
  • ปัสสาวะบ่อย ห่างกันไม่เกิน 2 ชั่วโมง
  • ปัสสาวะไม่พุ่ง ไหลช้า หรือไหลๆ หยุดๆ
  • ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ จะต้องรีบเข้าห้องน้ำทันทีที่ปวดปัสสาวะ
  • เกิดความรู้สึกว่าการปัสสาวะเป็นเรื่องวุ่นวายในชีวิตประจำวัน
  • ต้องรอนานกว่าจะสามารถปัสสาวะออกมาได้
  • รู้สึกปัสสาวะไม่สุด ทำให้อยากปัสสาวะอยู่เรื่อยๆ

โรคต่อมลูกหมากโตอาจมีภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ ปัสสาวะไม่ออกเลย ทางเดินปัสสาวะอักเสบ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ไตเสื่อมหรือกระเพาะปัสสาวะเสื่อม ปัสสาวะเป็นเลือด เป็นต้น ซึ่งอาจพบได้ไม่เกินร้อยละ 20 ของผู้ป่วยต่อมลูกหมากทั้งหมด

 

การวินิจฉัยโรคต่อมลูกหมากโต

  • ตรวจสอบร่างกายและซักประวัติคนไข้โดยละเอียด
  • การตรวจต่อมลูกหมากทางท่อทวารหนัก “ดีอาร์อี” (Digital Rectal Examination) เพื่อดูลักษณะผิดปกติและความแน่นของเนื้อต่อมลูกหมาก
  • ทำการทดสอบเพื่อวัดอัตราการไหลของปัสสาวะ
  • ตรวจเพาะเชื้อจากปัสสาวะ
  • วัดปริมาณปัสสาวะที่เก็บอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ
  • อัลตราซาวนด์ขนาดต่อมลูกหมากที่เปลี่ยนแปลง
  • เจาะ PSA เพื่อแยกโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก (ค่า PSA คือ ระดับโปรตีน PSA (Prostate-Specific Antigen) ในเลือด) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ผลิตจากต่อมลูกหมาก และเป็นหนึ่งในตัวบ่งชี้ภาวะของผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยหากค่า PSA อยู่ในระดับสูงมีโอกาสเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากสูงตามไปด้วย

 

แนวทางการรักษาโรคต่อมลูกหมากโต

สำหรับโรคต่อมลูกหมากโตนั้น การรักษาจะมุ่งเน้นที่จะให้อาการขับปัสสาวะของผู้ป่วยดีขึ้น โดยมีวิธีการรักษาแบ่งเป็น 3 วิธี ดังนี้

 

วิธีแรก: ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

วิธีการรักษาเริ่มแรก แพทย์จะให้ปรับพฤติกรรมเสียก่อน เช่น ในรายที่เป็นไม่มาก อาจให้ลดการดื่มน้ำลงในช่วงเวลากลางคืน ลดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ ถ้าอาการดีขึ้นไม่จำเป็นต้องใช้ยา แต่หากปรับพฤติกรรมแล้วอาการไม่ดีขึ้นต้องรักษาด้วยยาต่อไป

 

วิธีที่สอง: การใช้ยา

สำหรับการรักษาด้วยยา แพทย์อาจจะสั่งยาบางชนิดให้ เช่น ยาคลายกล้ามเนื้อเรียบในต่อมลูกหมากให้มีลักษณะอ่อนตัวลง (Alpha-Blockers) ซึ่งจะช่วยลดขนาดของต่อมลูกหมากให้มีขนาดเล็กลง แต่ถ้าในรายที่มีอาการปัสสาวะลำบากมากขึ้น จนมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตประจำวัน หรือในรายที่เป็นมากๆ แต่อยู่ในระหว่างรอการผ่าตัด แพทย์จะให้การรักษาด้วยยาตามความเหมาะสมแต่ละอาการของแต่ละบุคคล

 

วิธีที่สาม: การผ่าตัด

การรักษาด้วยการผ่าตัดด้วยการส่องกล้อง เพื่อขูด ตัด เอาชิ้นเนื้อส่วนที่เกินออกมาจากต่อมลูกหมาก (Transurethral Resection of the Prostate-TURP) เป็นการผ่าตัดที่นำเอาบางส่วนของต่อมลูกหมากที่ขวางท่อทางเดินปัสสาวะออกมา โดยใช้กล้องส่องผ่านท่อปัสสาวะ แพทย์จะใช้วิธีตัด หรือ ขูด ต่อมลูกหมากออกเป็นชิ้นเล็กๆ ด้วยเครื่องมือแบบขดลวดสำหรับตัดและจี้ด้วยไฟฟ้าที่มีความปลอดภัยสูง เพื่อตัดและหยุดเลือดออกไปได้พร้อมกัน

ภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นเมื่อละเลยการรักษาที่ถูกต้อง

  • ปัสสาวะไม่ออกทันที หรือค่อยๆ
  • ปัสสาวะเป็นเลือดเนื่องจากต่อมลูกหมากบวม
  • กระเพาะปัสสาวะคราก หรือมีนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ไม่สามารถขับปัสสาวะออกได้หมด ส่งผลให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
  • การทำงานของไตเสื่อมลง และไตวายได้

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แพทย์เน้นย้ำ คือ ชายที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรตรวจต่อมลูกหมากเป็นประจำทุกปี และเมื่อมีอาการปัสสาวะผิดปกติก็ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ และอย่าละเลยการดูแลสุขภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน และทำให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุดทำให้คุณภาพชีวิตกลับมาดีขึ้นดังเดิม

 

บทความสุขภาพ
Copyright © 2020 Bcaremedicalcenter. All Rights Reserved.