ต้อเนื้อ (Pterygium)
เป็นโรคต้อชนิดหนึ่งที่คนไทยเป็นกันมาก โดยเฉพาะในผู้ที่ทำงานกลางแจ้งวัย 40 ปีขึ้นไป โรคต้อเนื้ออาจไม่ได้มีผลกับการมองเห็น เพียงแต่ทำให้รู้สึกรำคาญได้มาจากการระคายเคืองบริเวณที่เป็นต้อ ทั้งยังรักษาให้หายขาดได้ และแม้จะเป็นมากจนก้อนต้อเข้าไปบดบังรูม่านตาจนสูญเสียการมองเห็น ก็ยังสามารถรักษาโดยการผ่าตัดลอกต้อเนื้อให้กลับมามองเห็นได้ดังเดิม
รู้จักต้อเนื้อ
ต้อเนื้อ (Pterygium) คือ โรคที่เกิดจากความเสื่อมของเยื่อบุตาขาว จนทำให้เนื้อเยื่อบางส่วนพัฒนาอย่างผิดปกติ จนเกิดเป็นแผ่นพังผืดของเยื่อบุตา ลักษณะรูปสามเหลี่ยมปรากฏขึ้นบริเวณตาขาว และลุกลามเป็นยอดแหลมยื่นเข้าไปสู่ตาดำ จนบดบังการมองเห็น ตามัว และทำให้มีโอกาสสูญเสียการมองเห็นชั่วคราวในที่สุด มักพบบริเวณหัวตามากกว่าหางตา
สาเหตุต้อเนื้อ
สาเหตุของต้อเนื้อที่พบได้บ่อยที่สุด คือ การโดนรังสี UV หรือแสงแดดเป็นเวลานาน และการที่ตาระคายเคืองจากลม ฝุ่นและอากาศแห้ง
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดต้อเนื้อ
อาการต้อเนื้ออาการส่วนใหญ่ที่พบ ได้แก่
ต้อเนื้อรักษาอย่างไร ?
ในผู้ป่วยที่มีอาการไม่มาก ต้อเนื้อยังไม่ลามเข้าไปในกระจกตาดำ สามารถให้การรักษาโดย
การผ่าตัดลอกต้อเนื้อมี 2 วิธี คือ
1. ผ่าตัดลอกต้อเนื้อแบบปกติ
การผ่าตัดลอกต้อเนื้อแบบปกติ จะเป็นการผ่าตัดเพื่อเอาต้อเนื้อที่เป็นเยื่อบุตาขาวส่วนที่ผิดปกติออกไปและไม่ได้มีการเย็บเยื่อบุตาขาวส่วนอื่นๆให้ติดกัน การผ่าตัดแบบนี้มีข้อดีคือสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว และถึงแม้จะไม่มีการเย็บปิดแผล ร่างกายก็ยังคงสร้างเยื่อบุตาขาวขึ้นมาแทนส่วนที่ถูกตัดออกไปได้อยู่ดี ส่วนข้อเสียของวิธีการนี้คือมีโอกาสที่เนื้อเยื่อที่งอกขึ้นใหม่จะกลับมาเป็นต้อเนื้อซ้ำได้มากถึง 40 - 50% เลยทีเดียว
2. ผ่าตัดลอกต้อเนื้อพร้อมปลูกเนื้อเยื่อ
การผ่าตัดลอกต้อเนื้อพร้อมปลูกเนื้อเยื่อ เป็นการผ่าตัดเอาต้อเนื้อออก โดยแพทย์จะนำเยื่อบุตาขาวในส่วนอื่นๆมาเย็บปิดที่แผล หรือนำเนื้อเยื่อรกมาปลูกถ่ายลงไปแทนที่ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดซ้ำ และทำให้แผลจากการผ่าตัดหายได้เร็วขึ้น ข้อดีของการผ่าตัดพร้อมปลูกเนื้อเยื่อคือ ความเสี่ยงที่ต้อเนื้อจะเกิดซ้ำลดลงเหลือเพียง 5 - 10% เท่านั้น อีกทั้งแผลจากการผ่าตัดจะหายเร็วกว่า ส่วนข้อเสียคือหลังผ่าตัดผู้เข้ารับการรักษาจะรู้สึกระคายเคืองมากกว่าแบบแรก เนื่องจากไหมเย็บเยื่อบุตาขาวก่อให้เกิดความรู้สึกระคายเคืองได้มากนั่นเอง
วิธีปฏิบัติหลังผ่าตัดลอกต้อ
หลังผ่าตัดลอกต้อ แพทย์จะให้ปิดตาแน่นประมาณ 1 วัน เพื่อให้แผลที่กระจกตาสมานดี ถ้ามีอาการปวดตามากให้รับประทานยาแก้ปวด ควรหยอดตาตามแพทย์สั่ง และในกรณีที่ลอกต้อแบบปลูกเยื่อบุตาขาวหรือเยื่อหุ้มรกจะมีการเย็บแผล ก็จะต้องมาตัดไหมหลังผ่าตัดประมาณ 7 -10 วัน สำหรับโอกาสกลับเป็นซ้ำหลังลอกต้อออกไปแล้วก็ยังมีอยู่ แพทย์จะให้ยาหยอดตาเพื่อป้องกันการเป็นซ้ำ ส่วนใครที่ยังต้องวนๆ เวียนๆ อยู่กับปัจจัยที่เอื้อให้เกิด ก็ควรหาวิธีป้องกันด้วยการหลีกเลี่ยงจากปัจจัยเหล่านั้น ถ้าเลี่ยงไม่ได้ให้สวมแว่นตาป้องกัน ก็จะกันได้ทั้งลม แสงแดด และฝุ่นละออง ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกแว่นตาที่มีเลนส์ป้องกันรังสี UV จะดีที่สุด นอกจากนั้นแนะนำให้รับประทานอาหารที่มีวิตามินเอสูงเช่น น้ำมันตับปลา, นมและผลิตภัณฑ์นม, ไข่แดง, ตับหมู, ผักใบเขียว และผลไม้ที่มีเนื้อสีเหลืองและสีส้มซึ่งจะมีสารเบต้าแคโรทีนที่ร่างกายนำไปสังเคราะห์เป็นวิตามินเอได้ เช่น มะม่วงสุก, มะละกอสุก, ส้มเขียวหวาน, แครอท, ฟักทอง เป็นต้น ซึ่งวิตามินเอจะช่วยกระตุ้นการทำงานของต่อมที่สร้างสารเมือกและไขมันมาเคลือบผิวกระจกตาและเยื่อบุตาขาว ช่วยเป็นเกราะป้องกันให้ดวงตาสามารถทนแดดทนลมได้ดีขึ้น
แนวทางป้องกันโรคต้อเนื้อ
โรคต้อเนื้อไม่ใช่โรคอันตราย สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการผ่าตัด ซึ่งเป็นเพียงการผ่าตัดเล็กๆที่ใช้เวลาเพียง 10 - 30 นาทีเท่านั้น และไม่จำเป็นต้องพักฟื้นแต่อย่างใด
ดังนั้นหากรู้ตัวว่ากำลังเป็นโรคต้อเนื้อให้เข้ารับการรักษาที่ถูกวิธีจากแพทย์ ไม่ควรซื้อยาหรือนำสิ่งแปลกปลอมมาหยอดตาด้วยตัวเอง เนื่องจากอาจจะทำให้ติดเชื้อหรือกลายเป็นโรคต้อหินที่อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้