สมองเสื่อมเป็นภาวะที่ความสามารถทางสติปัญญาลดลง คิดและจำไม่ได้ เป็นโรคที่มักพบในผู้สูงอายุทำให้ผู้ที่เป็นมีอาการหลงลืม การใช้ภาษาผิดปกติ และพฤติกรรม รวมถึงอารมณ์เปลี่ยนไป เกิดได้จากหลายสาเหตุทั้งที่แก้ไขได้และแก้ไขไม่ได้ เช่น โรคอัลไซเมอร์, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคพาร์กินสัน, ขาดฮอร์โมนธัยรอยด์, เนื้องอกสมอง, โพรงน้ำในสมองขยายตัว, โรคติดเชื้อบางชนิด เช่น ซิฟิลิสและเอดส์ เป็นต้น โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคสมองเสื่อมที่พบบ่อยที่สุด โดยเฉลี่ยผู้ป่วยที่เป็นโรคอัลไซเมอร์จะอยู่ได้นาน 8-10 ปี
ปัจจัยเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์
โรคอัลไซเมอร์ ไม่ได้เป็นโรคติดต่อ แต่อาจมีการถ่ายทอดในครอบครัวทางกรรมพันธุ์ได้ในผู้ป่วยส่วนน้อย ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือ อายุที่มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันนี้คนเราอายุยืนขึ้น โรคนี้จึงพบได้มากขึ้นเรื่อยๆ และจะเป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศ
อาการโรคอัลไซเมอร์
อาการเริ่มแรกมักเป็นการลืมเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ๆ ไม่นาน ในขณะที่ความจำเรื่องเก่าๆ ในอดีตจะยังดีอยู่ ผู้ป่วยอาจถามซ้ำเรื่องที่เพิ่งบอกไปหรือพูดซ้ำเรื่องที่เพิ่งเล่าให้ฟัง นอกจากนั้นยังอาจมีอาการอื่นๆ เช่น วางของแล้วลืม ทำอะไรที่เคยทำประจำไม่ได้ สับสนเรื่องวัน เวลา สถานที่ นึกคำพูดไม่ค่อยออกหรือใช้คำผิดๆ แทน มีอารมณ์พฤติกรรมและบุคลิกภาพที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม การตัดสินใจแย่ลง ไม่สามารถมีความคิดริเริ่มใหม่ๆ อาการเหล่านี้จะค่อยเริ่มเปลี่ยนแปลงจนทำให้เกิดปัญหาต่อการทำงานและกิจวัตรประจำวัน ซึ่งการที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้เร็วหรือช้าก็ขึ้นกับระดับความสามารถเดิม การศึกษาและหน้าที่เดิมของผู้ป่วย รวมถึงความช่างสังเกตและเอาใจใส่ของญาติด้วย
แนวทางการป้องกันโรคอัลไซเมอร์
ในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลเพียงพอสำหรับการป้องกันโรคนี้ อย่างไรก็ตามแนวทางการปฏิบัติตัวอาจช่วยให้สมองมีความจำที่ดีได้ ดังนี้
หากเป็นอัลไซเมอร์แล้ว ควรปฏิบัติตัวอย่างไร
สำหรับผู้ที่ทราบแล้วว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีภาวะสมองเสื่อม ย่อมเกิดความวิตกกังวลขึ้นจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตามผู้ป่วยควรดูแลรักษาสุขภาพ เพราะอาการของสมองเสื่อมจะค่อยๆ ทรุดลง จึงควรดูแลตนเองให้ดียิ่งขึ้น ไม่ควรที่จะหยุดทำในสิ่งที่ตนเองชอบหรือมีความสุขในชีวิต และพยายามพึ่งตนเองให้ได้มากที่สุดอย่างที่เคยทำมา และทำในสิ่งที่ตนเองรักต่อไปอย่างเป็นปกติ โดยอยู่ในความดูแลของสมาชิกในครอบครัว คอยปรึกษาหารือกันและสนับสนุนช่วยเหลือกัน
ที่มา : คลังความรู้สุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
ขอบคุณภาพประกอบจาก freepik