มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกคืออะไร
มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เป็นโรคที่พบได้มากขึ้นในปัจจุบันในเพศหญิงรองจากมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักได้รับการวินิจฉัยเมื่ออายุ 40 ถึง 70 ปี ซึ่งมักจะอยู่ในวัยหมดประจำเดือนแล้ว ในปัจจุบันมีข้อมูลพบว่าผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือนมีโอกาสเป็นมะเร็งชนิดนี้ได้สูงขึ้น
สาเหตุการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
สาเหตุของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกยังไม่ทราบชัดเจน แต่พบว่าการมีระดับฮอร์โมนที่ไม่สมดุลโดยเฉพาะเมื่อร่างกายมีฮอร์โมนเอสโตรเจนในเลือดสูงต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการเกิดมะเร็งชนิดนี้ นอกจากนั้นยังพบปัจจัยเสี่ยงอื่นที่ส่งผลต่อการเกิดโรคนี้อีกหลายประการ
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจมีส่วนทำให้เกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ได้แก่
อาการของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
อาการที่พบได้บ่อยที่สุดในมะเร็งชนิดนี้คือ การมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด โดยเฉพาะในผู้หญิงที่หมดประจำเดือนไปแล้วแต่ยังมีเลือดออกมาเป็นครั้งคราว หรือผู้หญิงที่ยังไม่หมดประจำเดือนที่มีเลือดออกผิดปกติในระหว่างรอบประจำเดือน อาการเหล่านี้เองเป็นสิ่งผิดปกติที่มักนำผู้ป่วยมาพบแพทย์
อาการอื่นที่อาจพบร่วมได้ เช่น ปวดท้องน้อย คลำพบก้อนบริเวณท้องน้อย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อยเพลีย ปวดหลังหรือปวดขา เป็นต้น
การวินิจฉัยมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
การวินิจฉัยมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกในเบื้องต้นสามารถเริ่มด้วยอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกายและตรวจภายในโดยแพทย์ หลังจากนั้นแพทย์จะพิจารณาตรวจอย่างอื่นเพิ่มเติมตามความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ดังนี้
1. การตรวจอัลตร้าซาวด์ทางช่องคลอด (Transvaginal ultrasound) เพื่อประเมินความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูก รวมทั้งข้อมูลอื่นเช่น ขนาดมดลูก ลักษณะของปีกมดลูกรวมทั้งรังไช่
2. การเก็บชิ้นเนื้อโพรงมดลูกเพื่อส่งตรวจ (Endometrial biopsy) เดิมทีอาศัยการขูดมดลูกซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวด รวมทั้งเสียเวลาและค่าใช้จ่ายพอสมควร ในปัจจุบันอาศัยการเก็บชิ้นเนื้อโดยใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กใส่เข้าไปในมดลูกเพื่อดูดเนื้อเยื่อโพรงมดลูกบางส่วนมาส่งตรวจทางพยาธิวิทยาและให้การวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ
3. การตรวจเลือด โดยมากมักเป็นการตรวจเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการผ่าตัด เช่น ความเข้มข้นเลือด สารเคมีและเกลือแร่ในเลือด สำหรับการตรวจระดับของสารบ่งชี้มะเร็งในเลือด (Tumour markers) ไม่สามารถให้การวินิจฉัยโรคได้ชัดเจน
4. การตรวจพิเศษอื่น เช่น CT MRI หรือ PET-scan จะใช้เมื่อสงสัยมีการลุกลามของมะเร็งไปยังอวัยวะข้างเคียงหรือมีการแพร่กระจายไปบริเวณอวัยวะอื่น
วิธีการรักษามะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
1. การผ่าตัด เป็นการรักษาเบื้องต้นและผลการผ่าตัดสามารถบอกระยะของโรคได้อย่างถูกต้อง โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดมดลูกและปีกมดลูกทั้ง 2 ข้างเพื่อพิจารณาโอกาสที่มะเร็งจะมีการแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลือง หลังจากนั้นจะเลาะต่อมน้ำเหลืองบริเวณอุ้งเชิงกรานและในช่องท้องสำหรับผู้ป่วยบางรายที่มีความเสี่ยงดังกล่าว เมื่อทราบผลการตรวจแล้วแพทย์จะสามารถบอกระยะของโรคที่ถูกต้องรวมถึงวางแผนการรักษาต่อไปได้
2. รังสีรักษา ซึ่งประกอบด้วยการฉายรังสีและการฝังแร่ ถูกใช้เป็นการรักษาเสริมหลังจากผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดเพื่อลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำในผู้ป่วยบางรายที่มีความเสี่ยง การรักษาโดยวิธีนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ถึง 2 เดือน และอาจมีผลข้างเคียงที่แตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย
3. เคมีบำบัด แพทย์จะพิจารณาให้เคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกที่มีการแพร่กระจายหรือมีความเสี่ยงต่อการกลับเป็นซ้ำสูงเช่น ผู้ป่วยระยะที่ 4 หรือระยะที่ 3 บางราย การรักษาวิธีนี้ใช้เวลาประมาณ 3 ถึง 6 เดือน ผู้ป่วยบางรายอาจได้รับเคมีบำบัดควบคู่ไปกับรังสีรักษา ผลข้างเคียงทั่วไปจากการได้รับเคมีบำบัด เช่น คลื่นไส้หรืออาเจียน มือเท้าชาและผมร่วง จะได้รับการการดูแลจากแพทย์ผู้รักษา ทำให้ผู้ป่วยสามารถรับการรักษาต่อเนื่องไปได้เป็นอย่างดี
การป้องกันมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
ยังไม่มีวิธีการป้องกันการเกิดมะเร็งชนิดนี้ได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสามารถดูแลรักษาตนเองเพื่อลดโอกาสเกิดมะเร็งชนิดนี้ได้ โดยการควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปรึกษาแพทย์เมื่อเกิดความผิดปกติ เช่น ขาดประจำเดือนต่อเนื่อง มีประจำเดือนมาไม่ตรงรอบ หรือมีเลือดออกผิดปกติหลังเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้ว รวมไปถึงมีความเสี่ยงโรคมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่
โดยสรุป ผู้ป่วยมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกส่วนมากได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เนื่องจากมีอาการที่เด่นชัดจึงนำไปสู่การรักษาอย่างรวดเร็ว เบื้องต้นผู้ป่วยควรหาข้อมูลที่เหมาะสมและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อจะได้วางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม หลังเข้ารับการรักษาแล้ว ผู้ป่วยต้องดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์และเข้ารับการตรวจติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
ที่มา : คลังความรู้สุขภาพ กระทรวงสาธาณสุข
ขอบคุณภาพประกอบจาก freepik