B.Care Medical Center | โรงพยาบาล บี.แคร์ เมดิคอลเซ็นเตอร์
02 532 4444
ติดต่อสอบถาม 02 532 4444
หน้าแรก / บทความสุขภาพ / ไขข้อข้องใจ วัคซีนป้องกัน “ไอพีดี” โรคร้ายในเด็กเล็ก
ไขข้อข้องใจ วัคซีนป้องกัน “ไอพีดี” โรคร้ายในเด็กเล็ก
22 พฤศจิกายน 2023

ปัญหาสุขภาพของเด็กเป็นปัญหาที่พ่อแม่หลายคนไม่อยากให้เกิดขึ้นกับลูกของตนเอง โดยเฉพาะโรคอันตรายต่างๆ ที่มักจะเกิดขึ้นกับเด็กทารก อย่างโรคติดเชื้อไอพีดี (โรคติดเชื้อนิวโมคอคคัสที่รุนแรง) ซึ่งเป็นสาเหตุนำไปสู่ความพิการและเสียชีวิตของเด็กเล็กทั่วโลก คุณพ่อ คุณแม่จึงควรศึกษาวิธีการป้องกัน เช่น การฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไอพีดี (IPD) ดีกว่าการรักษา

โรคติดเชื้อไอพีดี ภัยร้ายใกล้ตัวลูก

โรคติดเชื้อไอพีดี (IPD, Invasive Pneumococcal Disease) คือ โรคติดเชื้อจากแบคทีเรียนิวโมคอคคัส (Streptococcal Pneumoniae) ชนิดรุนแรงและรุกราน สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปอดอักเสบรุนแรง ไปจนถึงทำให้พิการและเสียชีวิตได้ เชื้อนิวโมคอคคัสก่อให้เกิดโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ได้แก่ หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ ปอดอักเสบ และก่อให้เกิดการติดเชื้อรุกล้ำรุนแรงทั้งการติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง การติดเชื้อในกระดูกและข้อ และการติดเชื้อในกระแสเลือด

รู้จักเชื้อนิวโมคอคคัส

เชื้อนิวโมคอคคัส เป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในโพรงจมูก และลำคอของทุกคนสามารถแพร่กระจายได้ผ่านการไอหรือจาม เชื้อนิวโมคอคคัส มีมากกว่า 90 สายพันธุ์ บางสายพันธุ์ก็ก่อโรครุนแรง บางสายพันธุ์ก่อโรคบ่อยแต่ไม่รุนแรง ในประเทศไทยพบว่ามี 13 สายพันธุ์ที่พบบ่อยมากถึง 90% ได้แก่ สายพันธุ์ 1, 3, 4, 5, 6A, 6B, 7F, 9v, 14, 18C, 19A, 19F และ 23F โดยในปัจจุบันมีสายพันธุ์เพิ่มได้แก่ 22F และ 33F รวมทั้งหมด 15 สายพันธุ์ ซึ่งสายพันธุ์ 19A พบปัญหาดื้อยาสูง ทำให้รักษาได้ยากและพบบ่อย ๆ ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งมีภูมิคุ้มกันน้อย อาการมีได้ทั้งเป็นพาหะมีเชื้อในทางเดินหายใจแต่ไม่มีอาการ หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และติดเชื้อในกระแสเลือด

อาการเมื่อติดเชื้อนิวโมคอคคัส

อาการของผู้ป่วยที่ติดเชื้อนิวโมคอคคัส คือ มีไข้สูงคล้ายโรคติดเชื้อทั่วไป 2 - 3 วัน ความรุนแรงจะขึ้นกับอวัยวะที่ติดเชื้อหรือลุกลาม ดังนี้

  • ติดเชื้อในกระแสเลือด เด็กจะมีอาการไข้สูง ร้องกวน เชื้อสามารถกระจายไปสู่อวัยวะอื่นได้ เช่น ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อในกระแสเลือด อาจเกิดการช็อก และเสียชีวิตได้
  • ติดเชื้อในระบบประสาท ได้แก่ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เด็กจะมีไข้สูง ซึม อาเจียน คอแข็ง เด็กทารกจะมีไข้สูง ซึม ร้องกวน กระหม่อมโป่งตึง และชัก ถ้ารักษาไม่ทันท่วงทีอาจเสียชีวิต การวินิจฉัยโรคต้องมีการตรวจเพาะเชื้อจากการเจาะกรวดน้ำไขสันหลัง
  • ติดเชื้อที่ทางเดินหายใจส่วนล่าง คือ ปอดอักเสบ เด็กมีไข้ ไอ หอบ ถ้ารุนแรงมากอาจจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เนื่องจากภาวการณ์หายใจล้มเหลว
  • ติดเชื้อที่ทางเดินหายใจส่วนบน คือ คออักเสบ หูน้ำหนวก (หรือหูชั้นกลางอักเสบ) และไซนัสอักเสบ ถ้ารักษาไม่ถูกต้องเชื้ออาจลุกลามไปอวัยวะข้างเคียงและสมองได้

เด็กที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคไอพีดี

  • เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
  • เด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอด โรคหอบหืด ภาวะไม่มีม้าม หรือม้ามทำงานบกพร่อง โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน
  • เด็กที่อยู่สถานรับเลี้ยงเด็กในช่วงกลางวัน
  • เด็กที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • เด็กที่มีน้ำไขสันหลังรั่ว

ป้องกันโรคไอพีดีได้อย่างไร

  • ปลูกฝังเด็กให้รู้จักสุขอนามัยส่วนบุคคล ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนและหลังทำกิจกรรมต่างๆ ปิดปาก ปิดจมูกทุกครั้งเวลาไอหรือจาม ควรสวมหน้ากากอนามัย ซึ่งจะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อได้
  • หลีกเลี่ยงการไปสถานที่แออัด และการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
  • การให้ลูกรับประทานนมแม่ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกน้อย
  • การฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไอพีดี ซึ่งนับเป็นวิธีที่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังสามารถป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์ดื้อยาได้ดี

สร้างภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีนไอพีดี

การป้องกันโรคไอพีดีที่ดีที่สุดในเด็กเล็ก คือ การสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อนิวโมคอคคัส โดยปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไอพีดี มีทั้งหมด 3 ชนิด คือ

  • วัคซีนชนิด 10 สายพันธุ์ : ป้องกันเชื้อนิวโมคอคคัส 10 สายพันธุ์ ได้แก่ 1, 4, 5, 6B, 7F, 9V, 14, 18C, 19F และ 23F
  • วัคซีนชนิด 13 สายพันธุ์ : ป้องกันเชื้อนิวโมคอคคัส 13 สายพันธุ์ ได้แก่ 1, 3, 4, 5, 6A, 6B, 7F, 9V, 14, 18C, 19A, 19F และ 23F โดยป้องกันครอบคลุม 9V
  • วัคซีนชนิด 15 สายพันธุ์ : ป้องกันเชื้อนิวโมคอคคัส 15 สายพันธุ์ ได้แก่ 1, 3, 4, 5, 6A, 6B, 7F, 9V, 14 18C, 19A, 19F, 22F, 23F และ 33F

โดยวิธีฉีดดังนี้

หากเริ่มฉีดตั้งแต่อายุ 2 เดือน ไม่ว่าจะเป็น ชนิด 10, 13 หรือ 15 สายพันธุ์  จะฉีดเมื่ออายุ 2, 4, 6 เดือน และเข็มสุดท้ายเมื่ออายุ 12 - 15 เดือน (รวมฉีดทั้งหมด 4 ครั้ง)

ข้อควรรู้

  • กรณีเริ่มฉีดตั้งแต่ 2 เดือน
    • เข็มที่ 1 ฉีดเมื่อเด็กอายุ 2 เดือน
    • เข็มที่ 2 ฉีดเมื่อเด็กอายุ 4 เดือน
    • เข็มที่ 3 ฉีดเมื่อเด็กอายุ 6 เดือน
    • เข็มที่ 4 ฉีดเมื่อเด็กอายุ 12-15 เดือน
  • กรณีเด็กมีอายุ 7 เดือนขึ้นไป ฉีด 3 เข็ม
  • กรณีเด็กมีอายุ 1 ปีขึ้นไป ฉีด 2 เข็มห่างกันสองเดือน
  • กรณีเด็กมีอายุ 2 ปี ขึ้นไป ฉีด 1 เข็ม
  • สามารถฉีดร่วมกับวัคซีนตัวอื่นได้
  • หากเคยฉีดชนิด 10 สายพันธุ์ และ ชนิด 13 สายพันธุ์ แล้ว สามารถฉีดชนิด 15 สายพันธุ์ ได้

การป้องกันไว้ก่อน ดีกว่าการรักษา เพราะการรักษาโรคไอพีดีนั้นมีค่ารักษาที่สูง และ ต้องใช้ระยะเวลานานในการฟื้นตัว อย่างไรก็ตามควรปรึกษากุมารแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้ลูกน้อยรับวัคซีนได้อย่างถูกต้อง ไม่ควรคำนวณเอง

 

 

บทความสุขภาพ
Copyright © 2020 Bcaremedicalcenter. All Rights Reserved.