B.Care Medical Center | โรงพยาบาล บี.แคร์ เมดิคอลเซ็นเตอร์
02 532 4444
ติดต่อสอบถาม 02 532 4444
หน้าแรก / บทความสุขภาพ / ผู้ป่วยโควิด-19 เมื่อแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านแล้ว ไม่ต้องตรวจหาเชื้อซ้ำอีก
ผู้ป่วยโควิด-19 เมื่อแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านแล้ว ไม่ต้องตรวจหาเชื้อซ้ำอีก
17 สิงหาคม 2021

การ “ตรวจหาเชื้อ” คืออะไร

การวินิจฉัยโรคติดเชื้อทุกชนิด ที่แน่นอนที่สุด คือ การตรวจพบตัวเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคนั้น เชื้อโรคต่างชนิดกัน จะมีวิธีการตรวจหาเชื้อแตกต่างกันไป ถ้าเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น การติดเชื้อในเลือด ฝี หนอง ปอดอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ทางการแพทย์จะใช้วิธีเพาะเชื้อ เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด แต่กรณีการติดเชื้อไวรัสเกือบทุกชนิด รวมทั้งโควิด-19 การเพาะเชื้อทำได้ยาก และต้องเป็นห้องปฏิบัติการพิเศษที่มีระบบความปลอดภัยที่เข้มงวดมาก จึงไม่สะดวกในการใช้ และมีเฉพาะในสถาบันการแพทย์ใหญ่ ๆ ที่ทำเพื่อการวิจัยเท่านั้น เทคนิคการตรวจหาเชื้อที่นิยมใช้ มีสองวิธีหลัก ๆ คือ การตรวจหาส่วนประกอบของเชื้อ เช่น การตรวจหาสารพันธุกรรมด้วยวิธีการขยายจำนวนเฉพาะส่วนสารพันธุกรรมของเชื้อ ที่เรียกว่า PCR (ชื่อเต็มคือ polymerase chain reaction) และการตรวจหาโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของไวรัสที่ทางการแพทย์เรียกว่าแอนติเจน (antigen) ทั้งสองวิธีนี้ ใช้สิ่งส่งตรวจที่ป้ายจากหลังโพรงจมูก (แยงจมูก) เหมือนกัน แต่การตรวจหาสารพันธุกรรม จะมีความแม่นยำในการวินิจฉัยมากกว่า และเป็นวิธีการมาตรฐานในการวินิจฉัยโควิด-19 ผู้ติดเชื้อมีอาการ หรือมีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยัน ถ้าต้องการทราบว่าติดเชื้อมาหรือไม่ แพทย์ก็มักจะแนะนำให้รับการตรวจหาสารพันธุกรรมนี้ ถ้าตรวจพบ ก็จะให้ผู้ติดเชื้อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลา 10 – 14 วันเป็นอย่างน้อย แต่ถ้ามีอาการหนัก ก็อาจจะต้องอยู่นานกว่านั้น

 

เราทราบได้อย่างไรว่า หายจากโรคแล้ว

การบอกว่าผู้ป่วยหายจากโรคติดเชื้อโดยทั่วไป อาจบอกได้จากการประเมินอาการ และบางกรณีก็อาจจะตรวจหาเชื้อซ้ำว่าเชื้อหมดจากร่างกายของผู้ป่วยหรือยัง  แต่สำหรับโควิด-19 การตรวจหาเชื้อซ้ำ จะทำให้สับสนมาก เพราะสารพันธุกรรมของเชื้อ SARS-CoV-2 (ไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรค) จะคงอยู่ในร่างกายของผู้ป่วยเป็นเวลานานมาก บางรายอาจจะนานถึง 3 เดือน มีการทดลองเอาสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยไปตรวจหาสารพันธุกรรม และเพาะเชื้อไปพร้อมกัน ถ้าเป็นผู้ป่วยที่มีอาการไม่มากจะตรวจพบทั้งสารพันธุกรรม และยังเพาะเชื้อได้ตัวไวรัสอยู่หลังจากมีอาการไม่เกิน 7 วัน แต่ถ้าเป็นผู้ป่วยอาการหนักหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ จากการได้ยากดภูมิหรือจากโรคเดิม ก็จะเพาะเชื้อได้นานประมาณ 3 สัปดาห์ เมื่อพ้นจากระยะเวลาดังกล่าวแล้ว (7 วันสำหรับผู้ป่วยทั่วไป 21 วัน สำหรับผู้ป่วยอาการหนักหรือภูมิคุ้มกันต่ำ) เกือบทั้งหมดจะเพาะเชื้อไม่ขึ้น คือเชื้อไม่สามารถเจริญเติบโตและแบ่งตัวได้อีกต่อไปทั้ง ๆ ที่ยังตรวจพบสารพันธุกรรมของเชื้ออยู่ บางคนจึงเรียกเหตุการณ์นี้ว่า พบซากเชื้อ

 

“ซากเชื้อ” ไม่สามารถก่อโรคได้ และไม่เป็นอันตราย

การศึกษาในไต้หวัน พบว่าผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยก่อนที่จะมีอาการประมาณ 2 วัน ไปจนถึง 6 วันนับจากวันที่มีอาการวันแรกจะติดเชื้อจากผู้ป่วยได้ แต่ถ้ามีการสัมผัสหลังจากนั้น จะไม่มีใครติดเชื้อเลยการติดตามผู้ป่วยหลายร้อยคนที่แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ในประเทศเกาหลีใต้ ก็ไม่พบว่ามีใครติดเชื้อจากผู้ที่หายจากโรคแล้วเหล่านั้นเลยแม้ว่าจะยังตรวจพบสารพันธุกรรมของเชื้อในสารคัดหลั่งของผู้ที่หายจากโรคแล้ว

ผู้ป่วยได้รับการรักษาในโรงพยาบาลจนครบกำหนดระยะเวลาแล้วจึงถือว่าพ้นระยะแพร่เชื้อ สามารถใช้ชีวิตทางสังคมได้อย่างปกติ แม้ว่าบางคนอาจจะมีอาการหลงเหลือเล็กน้อย แต่อาการนั้นไม่ใช่อาการที่แสดงว่ายังมีเชื้ออยู่ เป็นแต่เพียงการอักเสบที่ยังตกค้างอยู่ และจะหายไปเองในที่สุด “การตรวจหาเชื้อ” จึงไม่มีความจำเป็นไม่มีประโยชน์ใดๆ และสร้างความสับสน เพราะสิ่งที่พบคือ สารพันธุกรรม ที่เหลืออยู่ (ซากเชื้อ) ไม่สามารถก่อโรคได้ แต่ทำให้เข้าใจผิดว่าบุคคลนั้นยังไม่หายจากโรคทั้งๆที่ความจริงคือ เขาหายป่วยและไม่แพร่เชื้อแล้ว  

   

ที่มา : ผศ.นพ. กำธร มาลาธรรม ที่ปรึกษาคณะกรรมการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีม.มหิดล และนายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทยวาระปีพ.ศ.2563-2564 (updated 16/6/64)

 

ขอบคุณภาพประกอบจาก freepik

บทความสุขภาพ
Copyright © 2020 Bcaremedicalcenter. All Rights Reserved.